ภาพด้านบนคือแอร์บรัชแบบกรวยบน (มันมีหลายแบบครับ)และมีกลไกแบบ Double Action ซึ่งมือใหม่อาจจะงง เดียวเราจะอธิบายให้ทราบว่าอะไรเป็นอะไร แต่ตอนนี้เรามาดูโครงสร้างภายในกันดีกว่า ว่าข้างในแอร์บรัชปกตินี่ มีอะไรบ้าง
สำหรับส่วนต่างๆที่ประกอบเป็นแอร์บรัชก็มีกมีดังที่เห็นตามภาพครับ
เดี๋ยวต่อไปเราจะมาอธิบายดูกันกันทีละจุดว่าอะไรคืออะไร
1.Fluid Cup (กรวยสี)
กรวยสีก็คือ ส่วนที่ใช้เก็บสีสำหรับการพ่นโดยแอร์บรัชแต่ละตัวก็จะมีขนาดกรวยสี (Cup) แตกต่างกันไป บางรุ่นเล็ก บางรุ่นก็ใหญ่ บางรุ่นเปลี่ยนได้แต่ถ้าอย่างตัวด้านบนนี้เปลี่ยนไม่ได้ขนาดกรวยสีที่เล็กมากก็แปลว่าแอร์บรัชจุสีได้น้อยและส่วนมากก็มักจะเป็นแอร์บรัชสำหรับงานละเอียด แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป
แอร์บรัชปกติจะมีตำแหน่งของกรวยสีอยู่ในตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดเป็นแบบFixซึ่งเป็นตัวกำหนดประเภทการทำงานและกลไกของมันด้วย เช่นแอร์บรัชกรวยบนก็ใช้การไหลของสีตามแรงโน้มถ่วงลดปริมาณแรงดันลมทำให้ใช้กับแรงลมต่ำได้ กรวยล่างจะใช้ลมเยอะกว่าหน่อยแต่ว่าข้อจำกัดเรื่องขนาดกรวยจะน้อยทั้งหมดนี้เราจะไปพูดกันอีกทีในการเลือกซื้อแอร์บรัชนะครับ
2.Main Lever (ไก)
ส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้สำหรับการควบคุมปริมาณสี (ในกรณีของแอร์บรัชแบบ Single-Action)หรือควบคุมทั้งลมและสี (ถ้าเป็นแบบ Double-Action) โดยกลไกการทำงานไม่ยาก ถ้าเป็น Single เราก็แค่กดลงอย่างเดียวเพื่อคุมปริมาณสีที่ออกมมา กดน้อยสีออกน้อยกดเยอะสีก็ฟุ้งเยอะ
แต่ถ้ามันเป็นแบบ Double การทำงานของไกตัวนี้จะซับซ้อนขึ้น กล่าวคือมันจะกดได้ทั้งกดลงและดันไปด้านหลัง การกดลงก็เป็นการคุม ปริมาณลม กดมากลมออกมาก แต่ถ้ากดลงอย่างเดียวสีจะไม่ออก(ยกเว้นคุณวางเข็มผิด) การจะให้สีออกต้องอาศัยการ"โยก"ไปด้านหลังร่วมด้วย กลไกลก็เหมือนกันถ้าโยกไปด้านหลังมากเท่าไหร่ สีที่ออกมาก็จะเยอะขึ้นด้วย ซึ่งทำให้การใช้งานแอร์บรัชแบบDouble Action ทำได้ยากกว่าแบบ Single Action มากในช่วงแรก เพราะคุณจะต้องพยายามจับน้ำหนักไกของแอร์บรัชให้ได้ซึ่งก็เหมือนรถยนต์ คันเร่งรถแต่ละคันมันหนักเบาไม่เท่ากันบางคันเหยียบนิดเดียวพุ่ง อีกคันเหยียบมิดก็ไม่ค่อยอยากไป
ทว่า...การที่แอร์บรัชมีกลไกแบบDoubleAction ก็มีข้อดีเช่นกัน คือเมื่อคุณใช้เป็นแล้วและสามารถคุมไกมันได้ตามใจสั่ง การพ่นสีก็จะทำได้หลากหลายมากขึ่นคุณสามารถทำการพ่นแบบไล่โทนก็ได้ รีดเส้นก็ได้ และอื่นๆทั้งนี้ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละอย่างทำได้ยังไง ก็ลองไปหาคลิปในยูทูปดูเพราะสมัยนี้เห็นโพสต์กันให้เกลื่อน ดูอันที่พวกเขาพ่นรูปวาด หรือพ่นอะไรก็ได้แค่ใช้แอร์บรัชก็พอ เพราะถ้าเข้าใจหลักการแล้วที่เหลือก็แค่ฝึกเท่านั้นแหละ
3.Nozzle (นมหนู)
อย่าเพิ่งคิดไปไกลและถ้าได้แอร์บรัชแล้ว อย่าจับนมหนูพร่ำเพรื่อ (ผมพูดจริงๆ)นมหนูเป็นส่วนประกอบที่บอบบางมาก เป็นจุดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ หน้าที่หลักๆก็คือเป็นทางออกของลมและสี(แหงละ)ไว้ใช้ควบคุมปริมาณของลมและสีที่พ่นออกมาตามขนาดของมันซึ่งจะทำงานผสานกับเข็ม (Needle) ในการกำหนดปริมาณของลมที่ออกมาทั้งนี้ขนาดของนมหนูที่เล็ก (เช่น 0.2) ก็จะทำให้เม็ดสีที่ออกมานั้นละเอียดกว่าการใช้เซ็ตนมหนู+ เข็ม ใหญ่ (0.4 / 0.5) แต่ว่าขนาดของนมหนู/เข็มที่ใหญ่ขึ้นก็ช่วยให้การทำงานขนาดใหญ่รวดเร็วขึ้น
สรุปได้คร่าวๆว่าการเลือกขนาดนมหนูนั้น ขึ้นกับประเภทของงานที่ต้องการใช้มากกว่าขอย้ำว่าต้องระวังและดูแลนมหนู่ให้ดีนะครับ(แต่ก็ไม่ใช่ให้ถอดล้างทุกครั้งที่ใช้เสร็จนะเพราะถอดหนือจับบ่อยๆมีโอกาสพังมากกว่าอีกนะ)ถ้านมหนูแตกหรือบิ่นสีที่พ่นเม็ดสีจะไม่ละเอียด ไปดูส่วนที่ทำงานคู่กับมันบ้าง
4.Needle (เข็ม)Head, Nozzle, และ Needle
เข็มนี่เป็นส่วนประกอบที่น่าจะเรียกว่าสำคัญไม่แพ้นมหนูเพราะต้องทำงานร่วมกันในแอร์บรัชและจากภาพจะเห็นได้ว่ามันบอบบางและมีแนวโน้มจะพังง่ายที่สุดเพียงแค่สะกิดโดนอะไรนิดเดียวเท่านั้นแหละครับปลายจะงอทันทีและลายที่งอ แม้จะเล็กน้อยแต่ก็ส่งผลต่อสีที่พ่นออกมาอย่างชัดเจนทีเดียวแม้ว่าปกติคุณจะไม่มีวันเห็นมันแบบในรูปเลยก็ตามถ้าใช้แอร์บรัชปกติแต่ความอันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มจะถอดมันออกมาล้าง เนื่องจากปลายเข็ม (tip)เป็นส่วนที่บางมาก (มันก็เหมือนเข็มแหละ แต่บางกว่าอีก) การทำหล่นหรือการใช้ความรุนแรงในการจับอาจจะทำให้ tip งอ และ...เมื่อ tip งอ ความฉิบหายก็จะตามมา
เมื่อTip งอ...มันก็ดัดได้ แต่ถึงจะดัดอย่างไร มันก็จะไม่กลับไปเหมือนเดิม 100% ทั้งนี้หน้าที่ของเข็มจะทำงานคู่กับนมหนูในการคุมลมและสีที่ออกมา(ซึ่งก็ควบคุมด้วยไกอีกที) เมื่อ tip งอ ถ้ามันงอไม่มากก็ยังใช้ได้อยู่ แต่ว่าเราจะสังเกตเห็นได้ว่าสีที่พ่นออกมาจะเกิดอาการ"แฉลบ"ไปตามด้านที่Tip งอ ดังนั้นวิถีของสีและมุมที่สีควรจะลงก็จะไม่เหมือนปกติดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อ tip ของเข็มงอแล้วมันให้ความรู้สึกแปลกๆ
5.Needle Assembly (ตัวล็อกเข็ม)
ตัวนี้คือตัวล็อกเข็มครับหน้าที่มันก็...ไว้ล็อกเข็ม ล็อกทำไม ? เพราะว่าถ้าไม่ล็อกเวลาที่ทำงานจริงๆ พอเราเหนี่ยวไกมาด้านหลัง ถ้าเข็มไม่ล็อก ไกก็จะมา เข็มไม่มาสีก็ไม่ออก เพราะงั้น ตรวจสอบให้ดีว่ามันล็อกแล้วและเช็คก่อนใช้งานหรือหลังถอดมาทำความสะอาดทุกครั้ง
6.Air Valve (วาล์วลม)
ส่วนนี้เป็นส่วนที่ใช้ประกอบเข้ากับสายลมที่ต่อมาจากแหล่งกำเนิดลมครับโดยมากก็ปั๊มลมแหละ เวลาต่อก็ตรวจให้เรียบร้อยละ ว่ามันไม่รั่ว
นอกจากนี้ก็ยังจะมีส่วนประกอบที่จะเจอได้อีกสองอย่างคือHeadและ Cap ครับซึ่งทั้งสองชิ้นเป็นส่วนประกอบที่รวมกัน(กับ Nozzle)อยู่ตรงหัวแอร์บรัชโดย Head (แบบที่เห็นวางในรูปเดียวกับเข็มและนมหนู)จะครอบอยู่ด้านหน้าของนมหนู ส่วน Cap นี่ก็จะอยู่ด้านหน้านั่นอีกที(ที่เห็นเป็นกลีบในรูปแรก)ซึ่ง Cap ไม่ได้มีความจำเป็นต่อกลไกของแอร์บรัชแต่มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นมหนูกับเข็มถูกกระแทกได้ง่าย ในความเป็นจริงคุณสามารถถอดCap แล้วพ่นก็ได้แต่ก็ต้องมั่นใจด้วยนะครับว่าเป็นคนไม่ซุ่มซ่าม เพราะถ้าถอดแคปแล้วโอกาสในการที่เข็มรอดจากการกระแทกใดๆ คือ 0%
1.Single Action (แอร์บรัชแบบจังหวะเดียว)
แอร์บรัชแบบSingleAction ก็ทำงานตามชื่อบอกแหละครับ คือกดอย่างเดียว เมื่อเรากดไกลงระบบจะทำให้ทั้งลมและสีออกมาพร้อมกันทั้งนี้แอร์บรัชแบบนี้สามารถควบคุมปริมาณสีได้เหมือนกันแต่ทำได้เฉพาะก่อนกดไกเท่านั้น นั่นแปลว่าคุณจะไม่สามารถใช้เพื่อทำการพ่นไล่แบบ Gradientได้ และทำให้การใช้งานจำกัด ทั้งนี้ ข้อดีและข้อเสียของ SingleAction ก็มีดังนี้
ข้อดี
1. ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน(กดปล่อยสีอย่างเดียวเลย)2. การควบคุมปริมาณสีแม่นยำต่อเนื่อง
3. ราคาถูก
ข้อเสีย
1. ใช้งานได้จำกัด เล่นท่าได้น้อย(หมายถึงรีดไล่น่ะครับ)
2. กินสีเยอะกว่า
3. ตัวเลือกการใช้งานน้อย (หมายถึงมีรุ่นให้เลือกน้อย)
2.Double Action (แอร์บรัชแบบสองจังหวะ)
Paasche Talon (Gravity Fed) Dual Action
อย่างที่บอกไปแล้วที่ด้านบน กลไกการทำงานของแอร์บรัชแบบ Double Action ประกอบด้วยการกดไกลงเพื่อปล่อยให้ลมไหลผ่าน และโยกไปด้านหลัง เพื่อกำหนดปริมาณสีทั้งนี้ถ้าทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่งการทำงานก็จะไม่สมบูรณ์ คือ ถ้าโยกอย่างเดียวก็จะไม่มีลม และสีอาจจะออกมานองเป็นหยดตรงปากกรวยพ่น
แต่ถ้ากดลงอย่างเดียวก็จะมีแต่ลมที่ออกมา ส่วนสีก็จะไม่ออกนะจ๊ะ
ทั้งนี้ข้อดีและข้อเสียของมันก็จะคล้ายๆกับการ reverse ระหว่าง SingleAction คือ
ข้อดี
1. เล่นได้ทุกท่า เพราะการควบคุมทำได้อิสระ (รีดไล่คุมสีได้ง่ายกว่า SingleAction ยกเว้นหงายท้องพ่น)
2. ตัวเลือกการใช้งานหลากหลาย
3. ใช้ปริมาณสีน้อย
ข้อเสีย
1. กลไกซับซ้อน ใช้งานยากในช่วงแรก (เป็นปัญหากับพวกมือใหม่สะส่วนใหญ่)
2. ราคาแพงกว่าแบบ Single Action
3. ดูแลรักษายากกว่าเพราะต้องทำการทำความสะอาดอย่างละเอียดเพื่อให้กลไกใช้งานได้นาน
แม้ว่าตัวเลือกแอร์บรัช Single Action จะไม่หลากหลายเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็ยังมีตัวเลือกและสำหรับแอร์บรัชแบบ Double Action ที่มีตัวเลือกมากมายเราจำเป็นต้องเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างระบบการจ่ายสีแบบต่างๆของแอร์บรัชครับเพราะประเภทของงานที่ทำ จะต้องเลือกแอร์บรัชให้เหมาะสมด้วย
หน้าที่เข้าชม | 1,879,726 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 636,831 ครั้ง |
เปิดร้าน | 9 ม.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 14 ก.ย. 2568 |